วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

งูยักษ์หัวคน

พบ ตัวประหลาด หัวเหมือนคน ลำตัวเป็นงู

ช่างรับเหมาถ่ายคลิปจากกรุงพนมเปญ ประเทศเขมร ซึ่งตัวประหลาดหัวเหมือนคนลำตัวเป็นงู ที่เข้ามาติดกับดักนายพรานในเขตป่าชายแดนไทย-เขมร ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่จริง สร้างความฮือฮาให้กับชาวจังหวัดศีรสะเกษขณะนี้ และมีการนำคลิปดังกล่าวเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูปวันที่ 18 มิ.ย.นี้

ที่มา คมชัดลึก

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วิธีหา hi5, facebook, multiply เพื่อนๆ ด้วย*เมล์..

วิธีหา hi5, facebook, multiply เพื่อนๆ ด้วย*เมล์..

เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็มีเว็บส่วนตัวกัน
ซึ่งเว็บส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวก hi5 facebook myspace multiply ฯลฯ



ถ้าเราต้องการหาใครสักคน เราอาจจะต้องเข้าไปในแต่ละเว็บ แล้วค้นหาในช่องค้นหา
แต่มันก็มีทางที่ง่ายกว่าที่จะหาเว็บของเค้าได้ทั้งหมดภายในครั้งเดียว



วิธีการ

1. ก๊อบ*เมล์เค้าเอาไว้

2. เข้า http://com.lullar.com

3. ใส่*เมล์ลงในช่อง แล้วกดค้นหา

ถ้าเค้ามีพวก hi5, facebook, multiply ก็จะเจอน่ะ


วิดีโอตัวอย่างการใช้
http://www.youtube.com/watch?v=irPBuwXE-2A

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

*****หมากชีวิต***** (นิทานปรัชญาชีวิต) 2

เหตุการณ์บนกระดานหมากรุกยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี
แล้วเล้งก็มักจะชนะพ่อได้ในกระดานสุดท้ายเสมอๆ
หลังจากที่แพ้มาตลอดในกระดานต้นๆ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือ

...............คำพูดพร่ำบ่นบนกระดาน.......

ประโยคแล้ว ประโยคเล่า ประโยคเก่าๆ ความหมายเดิมๆ
วนเวียนมา แล้วเวียนวนไป ซ้ำแล้วซ้ำอีก

เขาแค่คิดว่า พ่อบ่นได้ก็บ่นไป ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่
เพราะเมื่อพ่อเริ่มพูดคำแรก เล้งก็นึกไล่ไปจนจบคำสุดท้ายแล้ว
ยกเว้นบางที ก็มีประโยคใหม่ๆ เริ่มแปร่งหูเข้ามาเพิ่มเติมบ้าง

+ กระดานนี้ อั๊วแพ้อีกแล้วอ่ะ ............ตั้งใหม่ๆ
/ หมากรุกแพ้ ลื้อตั้งกระดานเล่นใหม่ได้........แต่บางอย่างต้องระวัง
เพราะบางอย่างมันเริ่มต้นใหม่ไม่ได้
+ ป๊าบ่นอะไรของป๊า..............เอ้า..............ตาป๊าเดินแล้ว

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และหลายปีผ่านไป
เล้งก็มีโอกาสเดินหมากรุกกับพ่อ น้อยลงๆๆ
พ่อมีภาระหน้าที่การงานมากขึ้น
ส่วนเล้งก็มีกิจกรรมต่างๆมากมายที่ดึงเวลาไปในช่วงวัยรุ่น

แล้วกาลเวลาก็ทำหน้าของมัน......แปรสภาพเด็กคนนี้
จากนักเรียน...................กลายมาเป็น...........นักศึกษา
จากนักกีฬาสนาม.......... กลายมาเป็น...........นักกีฬาหมากกระดาน
และสุดท้าย
จากคนทำงาน...............กลายมาเป็น...........นักลงทุน
ในช่วงแรกที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น
เขาได้สูญเงินเป็นจำนวนมากจากการเล่นหุ้น
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรยากเย็น
คงเหมือนกับซื้อขายสินค้าทั่วๆไป
ที่เขาคุ้นเคย....ซื้อถูกมาขายแพง ตามประเพณีการค้าขาย ...
แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด

เขาตกอยู่ในภาวะเครียดจัดและได้ก็ปรึกษาเรื่องนี้กับคนรู้จักหลายคนๆ
แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เล้งจึงได้ระบายเรื่องนี้ให้พ่อของเขาฟัง
ทั้งๆที่รู้ว่าพ่อนั้นไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลย

/เล้ง......ทำไมลื้อวางเดิมพันกับเกมที่ตัวเองไม่ถนัดด้วยวงเงินที่สูงอย่างนั้น
ตอนเด็ก...ป๊าเคยถามตอนเล่นหมากรุกว่า.......พนันกันด้วยเงินเท่าค่าขนมไปโรงเรียนไม๊
ถ้าแพ้เล้งอดค่าขนม ถ้าชนะป๊าให้สองเท่า....เล้งยังไม่ยอมเลย
+ ก็ตอนนั้นอั๊วรู้ว่า............กำลังเล่นกับเซียนนี่
/แล้วที่ลื้อเจออยู่นี่มันสนามแข่งหมูเหรอ...........เขาว่ามันเหมือนถ้ำเสือเชียวนา
+ แหมป๊า...........ไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสือเหรอ
/ แต่ถ้าลื้อไม่รู้วิธีจับเสือ......แล้วยังไปเข้าถ้ำเสือ นอกจากไม่ได้ลูกเสือแล้ว
ลื้อยังจะถูกแม่เสือคาบไปเป็นอาหารเย็นให้ลูกเสืออีกน่ะสิ

/ ป๊าเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเซียนในวงการหมากรุกให้เล้งฟังละกัน
แต่มันอาจไม่เหมือนกับวงการหุ้นหรอกนะ........ แต่ฝากให้ลื้อเอาไปคิดต่อเอง
/ ในวงการหมากรุก เซียนที่ รู้มือรู้เหลี่ยมกันดี ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเล่นกินกันเอง
ยิ่งในละแวกเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึง ใครมือระดับไหน ใครเล่นกับใครได้
เล่นกับใครไม่ได้ ในถิ่นเดียวกัน............ มันรู้ถึงกันหมด

/ เซียนที่เป็นนักพนันน่ะ เขาเลยต้องออกเดินสาย ไปท้าพนันกับนักเล่นต่างถิ่น
เล่นไปไม่นาน ก็ต้องย้ายที่ไปเรื่อยๆ เพราะ ถ้าไปเจอหมู หลอกกินเขาได้ไม่นาน
เสียบ่อยๆ เขาก็เริ่มสงสัย พอรู้ว่าเป็นเซียนมาจากที่อื่น...เขาสู้ไม่ได้... เขาก็เลิกเล่นด้วย

/ แต่บางที............. เซียนเดินสาย....ดันไปเจอกับ...เซียนเหยียบเซียน
มีคนหนึ่งเป็นเซียน......ลักษณะที่ว่านี้.........อยู่แถวสวนพลู
คนนี้เหนือมาก.... ทุกตาที่เล่น ทุกก้าวที่เดิน เขาจะเดินหมากแบบชนิดที่ว่าเรียบๆ ง่ายๆ
มีแพ้บ้างชนะบ้าง สลับกันไป แต่ไม่ว่าแพ้หรือชนะ จะสูสีมาก
เฉือนกันแค่ก้าวสองก้าว หลายๆกระดานออกเสมอ

/ คนเล่นด้วยไม่ว่าใครหน้าไหน อยู่ถิ่นเดียวกันหรือมาจากต่างถิ่น
จะไม่รู้สึกเลยว่าหมอนี่เป็นเซียน แล้วจะรู้สึกเหมือนกันหมดว่า
ที่ตัวเองชนะตอนแรกมาจากฝีมือตัวเอง
แต่ที่แพ้ในกระดานหลังๆ มาจากที่ เดินไม่ระวัง
แล้วก็เสียเดิมพันเยอะหน่อย เมื่อเทียบกับกระดานต้นๆ
.. ก็แค่นั้น... ไม่เคยเสียหมดตัวแต่ก็ไม่เคยได้เงินกลับบ้าน
/..........แล้วคนนี้แหละก็คือ...............คนที่สอนป๊าเล่นหมากรุก
เขาบอกว่า หมากรุกมันเรียบง่าย แต่ความซับซ้อนมันอยู่ในจิตใจ
บังคับหมากน่ะมันง่ายๆ .......เอามือจับหมากเดินก็จบ
แต่บังคับจิตใจตัวเองนี่สิ........... ยากกว่ากันเยอะ
/ เขาสอนป๊าว่า............เซียนที่แท้น่ะ ไม่ได้เดินหมากบนกระดานนะ........
+ ตลกแล้วป๊า ....ไม่เดินหมากบนกระดาน.......แล้วไปเดินหมากบนเสื่อเหรอ
/ไม่ใช่อย่างนั้น.....เขาสอนป๊าว่า.........จะต้องเดินหมากบนหัวใจของคู่ต่อสู้
+ ไม่เข้าใจอ่ะ
/ เดินหมากในรูปแบบ....... ที่ทำให้หมากฝ่ายตรงข้ามถูกบังคับเดิน
+ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี........หมากอีกฝ่ายก็ต้องเดินได้อย่างอิสระตามใจคนเล่นไม่ใช่เหรอ
/ นั่นแหละๆ.....การเดินหมากที่ทำให้ฝ่ายตรงข้าม คิดว่าตัวเองเดินได้อย่างอิสระ
เลือกเดิน เลือกกินตามความสมัครใจของตัวเองนี่แหละ ....ลึกซึ้งที่สุดแล้ว
/ เดินโดยไม่รู้ว่าถูกบังคับ........กินฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้สึกว่าถูกหลอก
แพ้โดยที่รู้สึกแค่ว่าตัวเองเดินไม่ระวังหรือแค่เผลอไผล และไม่รู้สึกว่าคู่แข่งที่เล่นอยู่เป็นเซียน
+ อือม์.............ยังไงต่อ
/ ก็เท่านี้แหละ......เพราะป๊าเชื่อว่า.... ลื้อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้

เล้ง เก็บเอามาคิดอยู่หลายคืน... ว่าทำไมพ่อวกมาพูดเรื่องหมากรุกอีก...
ทั้งๆที่เขากำลังเครียดเรื่องหุ้น แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร...

เพราะตัวเองก็ไม่ได้คาดหวังคำแนะนำจากพ่อในเรื่องหุ้น......ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
แต่แล้วเขาก็นำสิ่งที่พ่อพูด..................กลับมาทบทวนอีกครั้ง
ควบคู่กันกับการนึกย้อนถึง.................สิ่งที่เขาพบมาในตลาดหุ้น
นับตั้งแต่เริ่มต้น

แล้วเขาก็พบกับ...........แสงสว่าง ................จากคำพูดของพ่อ

ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้วว่า ...........เขากำลังตกอยู่ในวงล้อมของเซียน

เขาเห็นเซียนด้านต่างๆ ตลอดเส้นทางการเล่นหุ้นของเขา

เขาก้าวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยความเชื่อที่มาจากการชี้นำของ

....เซียนด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด.....ที่คอยสร้างภาพแห่งความโปร่งใส
..... บริสุทธิ์ ยุติธรรม ให้กับการลงทุนในตลาดหุ้น

เขาอ่านงบการเงิน ที่ทำออกมาจากมือของเซียนด้านบัญชีและการเงิน
......ซึ่งแม้แต่เซียนด้วยกัน..................... บางทียังหลงกล

เขาดูกราฟและใช้เครื่องมือทางเทคนิค ต่อสู้อยู่กับ เซียนด้านเทคนิค
......ที่มีความพร้อมกว่าทั้ง เครื่องมือ โปรแกรม
และเทคนิคล่อลวงอันแพรวพราว


เขากำลังอ่านข่าวสารและรับรู้ข้อมูลที่ปล่อยออกมาจากเซียนที่ใช้สื่อเป็นอาวุธ
......ผ่านตามสื่อต่างๆ ทั้งในรูปแบบของสื่อสารมวลชนและบทวิเคราะห์ต่างๆ

เขากำลังใช้เงินทุนของตัวเองต่อสู้กับเซียนอื่นๆ
ที่มีเงินทุนอันมากมายมหาศาล

ที่สำคัญ........................
เขากำลังเผชิญหน้ากับเซียนทั้งหมดนี้พร้อมๆกัน
และ ยิ่งไปกว่านั้น ...
เซียนบางกลุ่มยังมีการร่วมมือกันในเบื้องหลังอีกด้วย

โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบน

กระดานหุ้นอิเลคทรอนิคส์.......อันพริ้วไหว......ที่อยู่ต่อหน้าเขานั่นเอง

ซึ่งเขา........................ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย

เขาพบแล้วว่า....กระดานหุ้นนี้มันลึกซึ้งและซับซ้อนกว่ากระดานหมากรุกที่เขาคุ้น
เคยนัก
แต่ที่ผ่านมา.......ทำไมเขาใช้เวลาในการตัดสินใจเดินหมากในกระดานหุ้น
.......รวดเร็วเหลือเกิน............ในแต่ละก้าว

เขานึกย้อนกลับไปทบทวนอีกครั้งว่า......เวลาเดินหมากรุกบนกระดานเล็กๆ
เขาใช้เวลาครุ่นคิดบางกระดาน นานนับชั่วโมง ทั้งๆที่
ก็ไม่ได้มีเดิมพันอะไร
..........มุ่งหวังที่ผล แพ้-ชนะ เท่านั้น.........

แต่กับการตัดสินใจซื้อหุ้นเต็มวงเงินของพอร์ต
เขากลับใช้เวลาคิดแค่ชั่วแล่น
ทั้งๆที่ผลของมันอาจกระทบต่อฐานะทางการเงินของเขาได้อย่างมากมาย


เขาสำนึกแล้วว่า.................เขาได้ประมาทต่อการเดินหมากบนกระดานนี้เพียงใด

อีกนานแรมปี นับจากวันนั้น
กว่าที่เขาจะสามารถปรับสมดุลของการใช้เวลา
เพื่อกลั่นกรองข้อมูลสำหรับใช้ในการตัดสินใจ
ตลอดจนพัฒนารูปแบบการเดินหมากบนกระดานหุ้น
ให้เหมาะสมและลงตัว อย่างที่เคยทำได้ในกระดานหมากรุก
เหมือนครั้งที่เป็นแชมป์กีฬามหาวิทยาลัย
หลังจากทำความสะอาดกล่องหมากรุกและนำเก็บเข้าที่เดิมแล้ว

เล้งได้ทบทวนอดีต.........นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่พ่อพยายาม
ปลูก-ฝัง-เพาะ-บ่ม-อบ-รม-เคี่ยว-เข็น-ผลัก-ดัน
...................... ผ่านมาทางกระดานหมากรุก

เขาซาบซึ้งแล้วว่า......... คำพร่ำบ่นบนกระดาน.......ของพ่อมีค่าแค่ไหน
นึกถึงบางประโยคที่พ่อคอยเน้นย้ำ
เพื่อชี้นำให้ชีวิตเขาเดินมาอย่างมีทิศทาง

/ หมากรุก.........จะเดินให้ชนะ......ยังต้องคิด
...หมากชีวิต.......ถ้าไม่คิด................จะเดินให้ชนะได้อย่างไร

นึกถึงตอนเด็กที่เคยสงสัยว่า ทำไม
พ่อถึงยอมแพ้ให้เขาในกระดานสุดท้าย

นึกถึงตอนที่เขาเข้าใจสิ่งนี้ได้เอง ในอีกหลายปีต่อมา

ว่าเป็น เพราะ พ่อกลัวว่าถ้าเขาแพ้ตลอด
เขาจะเบื่อและอาจเลิกเล่นหมากรุกไปเลย
แต่ถ้าปล่อยให้เขาชนะเรื่อยๆ
มันก็ไม่มีอะไรท้าทายให้เขาเล่นต่อและจะคิดว่า
ไม่มีอะไรต้องเรียนรู้จากมันอีกแล้ว

นึกถึงพ่อของเขาที่ไม่เคยยึดติดกับสีของหมากอย่างที่เซียนหลายๆคนเป็น
เวลาเล่นกับเขาจะเลือกใช้หมาก.....สลับสี....ไปมา
บางครั้งเดินด้วยหมากสีแดง บางครั้งเดินด้วยหมากสีเขียว
ดังนั้น ภาพที่ปรากฏบนกระดานหมากรุก ที่ผ่านสายตาของเขาอย่างชินตา
ก็คือ

....เดี๋ยวหมากสีแดงก็ชนะหมากสีเขียว......เดี๋ยวหมากสีเขียวก็ชนะหมากสีแดง.....

/ เล้ง..... ตัวหมากแดงและหมากเขียวน่ะ มันไม่เคยแพ้ชนะกันเด็ดขาดหรอก
เกมหมากรุกมันไม่เคยจบ ตัวหมากทั้งสองสียังคงอยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่คนเล่นเท่านั้นเอง...............ที่เปลี่ยนหน้าไป
บางครั้ง..........เขาเองก็ยังเคยคิดเล่นๆ ว่า......

แท้จริงแล้ว เขาเองก็เป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานชีวิตของพ่อ......
ที่พ่อรักและหวงแหนมาก
เดินหมากตัวนี้ด้วยความระมัดระวัง
หลังจากเคยสูญเสียหมากสำคัญไปครั้งหนึ่ง

เล้งเพิ่งทราบความจริง ในสิ่งที่เคยสงสัย จากอาของเขาเมื่อไม่กี่ปีมานี้

สำหรับเรื่องที่พ่อของเล้งเลิกเล่นหมากรุก........แล้วมาเริ่มเล่นใหม่อีกครั้งก
ับเขาเพียงคนเดียว

ทำให้เขายิ่งตระหนักว่า..............พ่อรักและหวังดีกับเขาเพียงใด

เพราะการ เดินหมากรุกแต่ละก้าวกับเขา

มันจะทำให้พ่อต้องเจ็บปวดกับอดีตที่ผุดขึ้นมาตอกย้ำ...............แต่พ่อก็ยอม

อาของเล้ง เล่าให้ฟังว่า

* เฮียเขาเป็นเซียนหมากรุก สมัยก่อน
ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องไปร้านกาแฟที่ปากซอย
เล่นหมากรุกเอาแค่ค่ากาแฟกับปาท่องโก๋
เพราะในย่านเดียวกันไม่มีใครกล้ามาพนันเงินด้วยแล้ว

* แต่มีอยู่วันหนึ่งมีเซียนต่างถิ่น มาท้าแข่ง
วางเดิมพันกันด้วย มีทั้งจับวงนอก เล่นวงในอยู่หลายกลุ่มของทั้งสองฝั่ง
ตกลงกันว่า......เล่นกระดานเดียว..... แล้วไม่จำกัดเวลา

*เฮียเขาเองเดิมพันไม่เยอะพอสนุกๆ
แต่คนอื่นที่ถือหางนี่ ทุ่มกันหนักหน่อย
เพราะเห็นว่าเล่นแค่กระดานเดียว
ตอนนั้นเจ็กอยู่ในร้านกาแฟด้วย ดูอยู่แค่ครึ่งชั่วโมง
สักพักเจ็กก็กลับมาที่ร้านแล้วขับรถไปส่งของให้ลูกค้า

* ตอนหลัง มารู้ว่า เฮียเขาเล่นติดพันอยู่สักชั่วโมงนึงได้
แล้ว อาม้าของเล้งก็มาตามให้ขับรถไปส่งของให้ลูกค้าอีกเจ้า
แต่ป๊าของเล้ง เกี่ยงว่าให้รออีกเดี๋ยว .... ขอเล่นให้จบก่อน

* รออีกครึ่งชั่วโมง อาม้าลื้อ ก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
อาป๊าลื้อเลยคิดว่าคงไม่มีอะไรด่วนมาก......
เลยเดินหมากต่อด้วยความเย็นใจ
แต่จริงๆแล้ว อาม้าลื้อขับรถไปส่งของเอง ทั้งๆ ที่ยังขับรถไม่แข็ง
แต่เพราะต้องการจะไปเก็บเงินค่าสินค้าเดิมที่ครบกำหนดด้วย

* พอดีลูกค้าเขาโทรมาอีกที บอกว่ารอได้ไม่นาน

เพราะตัวเถ้าแก่กับเถ้าแกเนี้ยมีธุระด่วนกำลังจะเดินทางไปต่างจังหวัดหลายวัน
อาม้าลื้อเขาห่วงว่า เดี๋ยวจะหมุนเงินในร้านไม่ทัน ก็เลยรีบไป

* หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง เด็กที่ร้านไปกระซิบที่หู
บอกเฮียที่กำลังเดินหมากอยู่ว่า.....
......... อาซ้อขับรถชนกับรถหกล้อ.........ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล......

* ตอนนั้นหมากกำลังสูสี แต่เฮียเขาทิ้งกระดานกลางคันไม่ได้
เพราะนักพนันมันล้อมวงอยู่เต็มร้าน
แต่แล้วอีกไม่ถึง 10
นาที....เซียนฝ่ายตรงข้ามก็รุกฆาต....แล้วเฮียเขาก็แพ้
ตอนนั้นคนในวงพนันยังไม่รู้เรื่อง
บางคนยังด่าไล่หลังว่า.......ทำพวกเขาเสียเงินไปเยอะ

*แล้วเฮียเขาก็รีบไปโรงพยาบาล ... แต่ไม่ทัน......
อาม้าลื้อสิ้นลมก่อน

* ช่วงงานศพ วันทั้งวัน อาป๊าลื้อนั่งนิ่ง บางช่วงก็น้ำตาไหล
ไม่พูดจากับใคร

พึมพำอยู่แต่ว่า..............แพ้ทั้งสองกระดานๆ

*แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจนะ เพราะคนที่อยู่ในวงพนันก็ยืนยันตรงกันว่า

เฮียเขาเล่นกับเซียนต่างถิ่นแค่......................................กระดานเดียว

เราอาจจะมีชีวิตอยู่ในวันนี้...................................
ด้วยความหวังของวันพรุ่งนี้
แต่จะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ...............................
ท่ามกลางการแข่งขันในสังคม

..................................... Pantip Theater……………………………………

ขอขอบคุณท่านผู้ชมทุกท่าน..............

........โปรดปรับสายตาให้ชินกับความสว่างก่อนเดินออกจากโรงภาพยนตร์........
ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จกับการเดินหมากในกระดานชีวิตของท่าน



...............................แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า.......................

............................................สวัสดี..........................


http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,18296.0.html

*****หมากชีวิต***** (นิทานปรัชญาชีวิต)

Pantip Theater ..... ภูมิใจเสนอ
หมากรุกบนกระดานชีวิต.....(โดยThe Rounder จาก พันทิพย์)
.................เช้าวันอาทิตย์ที่สบายๆวันหนึ่ง หลังจากอาหารเช้าแล้ว
เล้ง..ตั้งใจจะจัดตู้หนังสือ เพื่อวางแผนในการอ่านอย่างจริงจังเสียที
หลังจากที่เขาได้ซื้อหา สะสม ตลอดจน อ่านทิ้ง อ่านขว้าง
จบบ้างไม่จบบ้างเล่มแล้วเล่มเล่า
เท่าที่เวลาจะมีและโอกาสจะอำนวย............... มาหลายปี

หมายเหตุ : (เล้ง แปลว่า มังกร ชาวจีนนิยมตั้งชื่อให้กับบุตรชาย)

เล้งกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก
แม่เขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบ
ทำให้เขาเป็นลูกโทนและอาศัยอยู่กับพ่อคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก

..... หลังจากค่อยๆ รื้อหนังสือจากชั้นวางในตู้ออกมากองบนโต๊ะและตามพื้น
สักพัก........สาย ตาของเขาก็สะดุดกับกล่องหมากรุกจีนสภาพเก่าเก็บ
ในซอกด้านในของตู้ปะปนกับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของเขา
เขาเพ่งมองอยู่นานด้วยความผูกพัน.... จากนั้น... ก็ค่อยๆดึงฝากล่องออก
แล้วก็พบกับกระดาษแผ่นพับสีขาวหม่นที่ตามขอบมีรอยวิ่น
พอหยิบกระดาษแผ่นพับนั้นออกมา ก็มองเห็นตัวหมากที่แกะจากไม้สีน้ำตาลอ่อนที่
ถูกคว้านผิวหน้าเป็นร่องลึกลงไป กลายเป็นตัวอักษรจีน .... ในรูปลักษณ์ต่างๆ มากมาย

ตัวหมากครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย......................สีแดง
ตัวหมากอีกครึ่งหนึ่งถูกแต้มด้วย................สีเขียว

ขณะที่สายตาเขาเพ่งมองตัวหมากที่มีสภาพคล้ำหม่นนั้น.................
และแล้ว เขาก็ตกอยู่ในภวังค์
เหตุการณ์ในอดีตและภาพในปัจจุบันเกิดการทับซ้อนสลับไปสลับมา
ในห้วงความคิดคำนึงของเล้ง

ภาพความทรงจำ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงตรุษจีนเมื่อประมาณ 20
กว่าปีที่แล้ว กลับเฉิดฉายอีกครั้งเหมือนหนังกลางแปลง

เขาเห็นภาพเด็กคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็ก......แต่ในปัจจุบันนี้กำลังเข้าสู่วัยกลางคน
มองเห็นสายตาคู่หนึ่ง................ซึ่งขณะนั้นกำลังไตร่ตรองกระดานหมากรุก

แต่ปัจจุบันนี้.......กำลังตรวจตรากระดานหุ้นอิเลคทรอนิคส์
ตรุษจีนปีนั้นเป็นช่วงที่เล้งปิดเทอมแล้ว และพ่อก็หยุดทำงานเนื่องจากเทศกาลดังกล่าว

ตอนนั้นเล้งอายุได้ประมาณ 10 ขวบ
ตอนบ่าย อยู่ๆ พ่อของเล้งก็หยิบเอากล่องหมากรุกจีนมาวางบนโต๊ะ
แล้วเรียกเล้งเข้าไปหา

/ เล้ง........ อยู่ว่างๆ มาเล่นหมากรุกจีนกับป๊าหน่อย
+ เล่นไม่เป็น อั๊วเล่นเป็นแต่หมากฮอส......... ป๊าเล่นหมากฮอสกับอั๊วละกัน
/ หมากฮอสมันไม่สนุก
+ หมากรุกจีนอั๊วไม่เคยเล่นอ่ะ
/ เดี๋ยวป๊าสอนให้ ...แป๊บเดียวก็เล่นเป็น
+ ก็ได้

เล้งตอบไปแบบแกนๆ โดยภายในใจเขารู้ดีว่า เขาไม่ได้อยากเล่น
เพราะลำพังหมากรุกไทยก็ยังไม่เคยเล่นและก็ไม่เคยเห็นเพื่อนในวัยเดียวกันเล่นด้วย
เห็นแต่ผู้ใหญ่เขาเล่นกัน

นี่หมากรุกจีน มีตัวหมากเป็นภาษาจีน ที่เขาเองก็ อ่านไม่ออกสักตัว
คงจะยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ก็ตอบรับพ่อไปด้วยความเกรงใจ
/..... ตี่... เหมือนกับฮ่องเต้ ถูกกินเมื่อไหร่ ถือว่า แพ้ทันที
สือ... รูปเหมือน เครื่องบิน เดินทะแยงได้เฉพาะในกรอบนี้
เฉีย... หรือช้าง เดินได้เฉพาะจุดเหล่านี้
กือ... เหมือนเรือ ในหมากรุกไทย เดินตรง กินตรง
เบ้.... หรือ ม้า เหมือนในหมากรุกไทย เดินโขยกรอบตัว
เผ่า... ทำหน้าที่คล้ายปืนใหญ่ เดินตรง แต่ต้อง กินข้าม หมายถึงต้องมีตัวคั่น 1 ตัว
จุก... เหมือนพลทหาร เดินทีละก้าวห้ามถอยหลัง ข้ามฝั่งแล้วถึงเลี้ยวซ้ายขวาได้

พ่ออธิบายตัวหมากและกติกาคร่าวๆให้เล้งฟัง
+ จำยากอ่ะ....
/ ค่อยๆเล่นเดี๋ยวก็จำได้หมด

พอเริ่มเดินหมากไปไม่กี่ก้าว

/ อ้าว...ทำไมเล้งเดินกือมาตรงนี้ล่ะ.......เผ่าป๊าอยู่ตรงนี้ กือจะโดนกินฟรีนะ
+ ก็อั๊วลืมไปอ่ะ..... ว่าเผ่ามันกินข้ามตัวได้ เห็นว่ามีจุกขวางอยู่แล้ว
/ เล้ง.......เอากลับไปเดินใหม่ ลื้อต้องเรียนรู้กฏ และจดจำให้ขึ้นใจ

อีกสักพัก

/ อ้าว แล้วเดินเบ้มาเฉยๆ ทำไมตรงนี้
+ ก็ไม่รู้จะเดินตัวไหนอ่ะ
/ ลื๊อรู้ไม๊ เซียนหมากรุกที่เค้าเก่งๆน่ะ เขานับก้าวเดินกันเลยนะ
บางทีแพ้หรือชนะ เพราะเดินช้าหรือเร็วกว่ากันในหมากตัวสำคัญแค่ก้าวเดียว
เพราะฉะนั้น ลื้ออย่าเดินหมากอย่างไม่มีจุดหมาย
เล้งต้องคิดให้ดีๆ ในทุกตาที่เล้งเดิน ว่าจะเดินตัวไหน แล้วเดินเพื่ออะไร

+ ก็อั๊วไม่ใช่เซียนอ่ะ ... เล่นไม่เป็น...... ไม่เคยเล่นด้วย

แล้วสักพัก

/ ......กุน......
+ อะไรอ่ะ......ป๊า
/ กุน หมายถึง รุก.......... เล้งแพ้แล้ว.............. เล่นใหม่ ๆ

วันนั้นเล้งเล่นแพ้ติดต่อกันอีกหลายกระดาน
จู่ๆ......... น้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลออกมา

/ เฮ้ย เล้งร้องไห้ทำไม ตรุษจีน เขาไม่ให้โศกเศร้า
+ ไม่เห็นสนุกเลย เล่นยังไงก็แพ้ตลอด...... อั๊วไม่เล่นแล้ว

พ่อของเล้งร้องเสียงหลง กับเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิด แล้วเล้งก็ลุกหนีไป

ต่อมาอีกหลายสัปดาห์ พ่อก็ชวนเล้งเล่นหมากรุกจีนอีก

/ ป๊าเล่นมายี่สิบปี ก่อนที่จะหยุดเล่นไป ลื๊อเพิ่งเล่นหัดเล่นไม่กี่วัน
เล่นไปเรื่อยๆ อีกหน่อยก็เก่งกว่าป๊า

พ่อพูดให้กำลังใจเล้ง แต่เล้งตอบไปตามประสาเด็กแก่นที่เรียนเลขเก่ง

+ ป๊าไม่ต้องมาโกหกอั๊วหรอก ต่อให้อั๊วเล่นอีกสิบปี ป๊าก็เล่นไปอีกสิบปีเหมือนกัน
กลายเป็นอั๊วเล่นทั้งหมดสิบปี ป๊าเล่นทั้งหมดสามสิบปี ยังไงป๊าก็ต้องเก่งกว่าอั๊ว

แล้วพ่อก็หัวเราะในลำคอเบาๆ

/.........ลื๊อนี่........เถียงเก่งจริงๆ......

หลังจากวันนั้น พ่อของเล้งก็เอ่ยปากชวนเล้งเล่นหมากรุกจีน ทุกครั้งที่เห็นว่าเล้งอยู่ว่างๆ
เขาเริ่มรู้สึกสนุกเพิ่มขึ้นบ้าง เดินหมากได้คล่องขึ้น และแพ้ช้าลง
แต่ด้วยความเป็นเด็ก เล้งจะจดจำหมากที่เดินแพ้ได้อย่างฝังใจ

แล้วเขาจะไม่เดินหมากรูปแบบเดิม.........ในสถานการณ์เดิมๆอีก
ซึ่งก็ได้ผล เพราะเขาไม่แพ้พ่อในรูปหมากแบบเดิม
แต่เขาก็ยังแพ้พ่อในรูปแบบอื่นๆ อีก..... ไม่รู้จักจบจักสิ้น

แล้วเขาก็เริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง

+ อั๊วเดินไม่ชนะป๊าซักที
/ เล้งต้องใจเย็นๆ ค่อยๆเรียนรู้ ทำอะไรก็ตาม เล้งต้องมองคนที่ทำมาก่อน
แล้วให้นึกถึงคนที่จะมาทีหลังเล้งด้วย เล้งเพิ่งหัดเล่น
แล้วถ้าวันนี้เล้งเก่งเหมือนเซียนหมากรุกที่เขาเล่นมา 20-30 ปี
มันจะเป็นไปได้เหรอ แล้วเล้งคิดดู
ถ้าวันหน้าเล้งเล่นไป20 ปี แล้วมีเด็ก 10 ขวบเพิ่งหัดเล่น
มาเล่นชนะเล้งในตอนนั้น เล้งจะรู้สึกยังไง

/ จำเอาไว้ คนที่เรียนรู้มาก่อนย่อมต้องมีอะไรที่เหนือกว่า
และคนที่ตามมาทีหลังก็ต้องบางอย่างที่ด้อยกว่า
อย่างน้อยก็คือ........................ประสบการณ์

คืนนั้นเขานอนหลับไม่สนิท ด้วยความขุ่นมัวและกระวนกระวายในจิตใจ
จากกระดานหมากรุก

เช้าวันต่อมาที่โต๊ะอาหาร

+ อั๊วว่า ที่ป๊าไม่ไปเล่นกับคนอื่น เพราะป๊ากลัวแพ้ ชอบมาเล่นกับอั๊ว
เพราะเห็นอั๊วเล่นไม่ค่อยเป็น ป๊าจะได้ชนะทุกกระดาน
/ ชนะเล้ง แล้วป๊าได้อะไร
+ ได้แกล้งอั๊ว ไม่งั้นทำไมไม่เห็นป๊าไปเล่นกับคนอื่นเลย
/ ......กินข้าวเถอะ......... เดี๋ยวกับข้าวเย็นแล้วจะไม่อร่อย

อีกสักพักหนึ่ง ซึ่งจวนจะจบมื้อเช้านี้แล้ว

+ ป๊า......อั๊วเคยอ่านหนังสือมา เขาบอกว่าคนจีนงกวิชา
ชอบเก็บความรู้ไว้คนเดียวจนบางทีตายไปกับตัว
/ ....ยังไงอีก......
+ ลูกตัวเองบางทียังไม่สอนเลย บางคนก็สอนลูกรักแค่คนเดียว ลูกที่เหลือไม่สนใจ
เลือกที่รักมักที่ชัง วิชาหลายๆอย่างก็เลยตายไปพร้อมกับคนที่รู้....
ทั้งเรื่องอาหาร....เรื่องยา..... แล้วก็อีกเยอะแยะ จริงหรือเปล่าป๊า

/ เล้ง.......สิ่งที่เล้งรับรู้มาน่ะไม่ผิด...... แต่มันไม่ถูกทั้งหมดหรอก....
บางที.......มันก็มีเหตุผลเหมือนกัน

/ คนจีนน่ะ เขาจะไม่ถ่ายทอดวิชากันง่ายๆ เพราะถ้ามันถ่ายทอดกันได้ง่ายๆ
คนที่ได้รับก็อาจไม่รู้คุณค่า

/ อีกอย่าง สมัยก่อนเมืองจีน บ้านเมืองยังไม่เป็นปึกแผ่น
ผู้คนแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า
แต่ละชนเผ่าก็มีความรู้หรือวิชาในกลุ่มของตัวเอง
เขาจะไม่ให้วิชาความรู้ของชนเผ่าตัวเองรั่วไหลไปให้คนอื่นหรอก....
เพราะบางทีมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้
/ และเขาถือว่า......วิชาอะไรก็ตามที่มีคุณอนันต์ ในทางกลับกัน มันจะมีโทษมหันต์
เพราะประโยชน์หรือโทษมันไม่ได้อยู่ที่ตัววิชา.......... มันอยู่ที่ตัวคน

/ พูดง่ายๆว่า วิชาความรู้น่ะมีค่า แต่คนที่จะได้รับถ่ายทอดนั้น
มีคุณค่าเพียงพอต่อความรู้นั้นหรือเปล่า
แล้วถ้าคนได้รับการถ่ายทอดเอาไปใช้อย่างไม่เหมาะสม หรือไม่รู้คุณค่า
เจ้าของวิชานั่นแหละ...............จะมัวหมองและมีมลทิน

เล้งได้รับคำตอบ........แต่ยังไม่สบอารมณ์

+ป๊าก็เหมือนกันแหละ
/ เหมือนยังไง
+...........งกวิชา......... อั๊วเป็นลูกป๊ายังไม่ยอมสอนเลย
/ สอนอะไร
+ สอนเดินหมากรุก....... ให้อั๊วเก่งเหมือนป๊า......เป็นเซียนหมากรุก
/ ใครบอกเล้ง........ว่าป๊าเป็นเซียนหมากรุก
+ อาเจ็ก...........แต่บอกว่าป๊าเลิกเล่นมาเกือบสิบปีแล้ว........
/ ......แล้วบอกอะไรอีก
+ บอกแค่นี้แหละ.......แล้วทำไมป๊าเลิกเล่นอ่ะ
/ ....รีบกินเถอะ....... เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย

พ่อของเล้งเลี่ยงการตอบคำถามของเขา

หลังจากที่เล้งเคยเลียบๆเคียงๆถามอยู่ 2-3 หน

จากนั้น เล้งก็ไม่ได้สนใจจะถามอีก

เขาคิดแค่ว่า........มันคงไม่มีอะไรมาก......แต่คงไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย
แล้ว.........คืนวันก็ผันผ่าน วันแล้ว วันเล่า กระดานแล้ว กระดานเล่า

+ ทำไมอั๊วไม่เคยเดินชนะป๊าสักทีอ่ะ
/ ก็ป๊ารู้ว่าลื๊อคิดยังไง แต่เล้งรู้หรือเปล่า ว่าป๊าเดินแต่ละหมากป๊าคิดยังไง
ลื๊อจะชนะป๊าได้ จะไม่ใช่เพราะเดินหมากเก่งกว่า
แต่นั่นหมายถึงเล้งต้องอ่านเกมป๊าออก แล้วเดินในหมากที่ป๊าอ่านลื๊อไม่ออก

และอย่าลืม......ในการแข่งขัน...........ต่างคนต่างอ่านใจและหมากซึ่งกันและกัน

+ แต่ อั๊วคิดง่ายๆว่า ถ้าหมากอั๊วกินหมากป๊าได้เยอะๆ
อั๊วก็น่าจะชนะได้เหมือนกัน

/ เล้งมองตื้นๆ ป๊าเดินให้เล้งกินตั้งหลายตัว เล้งก็เห็น

สุดท้ายเล้งก็แพ้อยู่ดี

+ อั๊วคิดว่าป๊าสอนอั๊วไม่หมด....... ป๊ากลัวอั๊วเก่งกว่าป๊า
แล้วชอบเดินหมากมาหลอกให้อั๊วกิน

/ ป๊าไม่ได้หลอก เล้งเดินมากินเอง เพราะเล้งคิดอย่างที่เล้งเข้าใจ.....ไม่กินก็ไม่ชนะ

/ เล้งค่อยๆคิดดู.......จะกินหมากคู่ต่อสู้ เล้งวางแผนไว้ก่อนหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้วางแผนไว้แล้วเล้งไปกิน มันก็มีแค่ 2 อย่าง
เล่นกับหมู ก็คือ เค้าเผลอ เล่นกับเซียน ก็คือ เค้าหลอกให้กิน มีแค่นี้แหละ

/ อั๊วสอนเล้งให้เล่นหมากรุกเป็นได้ แต่สอนให้เป็นเซียนไม่ได้ อันนั้น
เล้งต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
/ แล้วเล้งจำไว้อย่าง. .... คำว่า.... เซียน... ไม่ใช่ให้ใครเอามาใช้เรียกตัวเอง
แล้วไม่ใช่ให้คนทั่วๆไปมายกย่องแล้วก็เป็นได้

จะได้เป็นเซียนในด้านไหน.......ต้องได้รับการยอมรับจากเซียนในวงการนั้นเท่านั้น
.........หลายเดือนต่อมา
วันนั้น เล้งเล่นแพ้ไปสัก 4-5 กระดานแล้ว และเริ่มหงุดหงิดแกมเบื่อ

+ อั๊วชักเบื่อเล่นหมากรุกกับป๊าแล้ว....... วันหลังอั๊วจะไม่เล่นอีกแล้ว
/ เล่นอีกตาๆ ........... แล้วไปกินข้าวกัน

กระดานต่อมานี้ พ่อจะดูเหมือนอ่านหมากเล้งไม่ขาด
ทั้งๆที่เล้งก็เดินหมากด้วยความมุทะลุ แต่แล้วเล้งก็ได้รุกฆาต และชนะพ่อไปแบบเฉียดฉิว

ตอนนั้นเล้งเข้าใจว่า พ่อแพ้เพราะใจพ่อไม่นิ่งหรือเผลอเรอ
เนื่องจาก เห็นความมุ่งมั่นอันตึงเครียดของเขา

/ ........ป๊าแพ้แล้ว......วันนี้พอแค่นี้ก่อน
+ ป๊าอย่าเพิ่งเลิกดิ....... อั๊วเพิ่งชนะแค่กระดานเดียวป๊าก็เลิกแล้ว
ป๊ากลัวแพ้อั๊วหลายๆกระดานอั๊วรู้

พ่อได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า

/ ..พอแล้ว...... พอแล้ว.......... ได้เวลากินข้าวแล้ว
+ ป๊าไม่ต้องเอาเรื่องกินข้าวมาอ้าง .......ป๊ากลัวแพ้อีก.........อั๊วรู้

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กรุวัดพระแก้ว สมเด็จวังหน้า









เป็นสมเด็จวังหน้ายุค ร.1 ครับ ไม่ใช่ยุค ร.3 แน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ในการสร้างพระ ของสมเด็จวังหน้ากรมพระราชวังบวรพระอุปราช(บุญมา)คือ สร้างขึ้นเพื่อแจกทหารทั้งวังหลวงวังหน้า วังหลัง ผู้ปลุกเศกคือ หลวงปู่เทพโลกอุดร ใช้ช่างสิบหมู่ปั้นทั้งหมด ทำครั้งเดียวและจำนวนมากให้เพียงพอ และเหลือพอเพียงสำหรับบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆที่สำคัญ เพื่อให้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายต่างๆในการต่อสู้ศึกสงคราม ซึ่งยุคนั้นมีการรบพุ่งกันมากมายกับพม่า ส่วนยุค ร.3 แทบไม่มีการศึกสงครามอะไรแล้ว มีบ้างประปรายก็เป็นศึกเล็กศึกน้อยเท่านั้น ผู้สร้างพระราชวังหน้าก็คือสมเด็จวังหน้ายุค ร.1 ซึ่งท่านเป็นทหารเสือ 2 ยุคสมัยทั้งในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชและสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และพระองค์เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยครับ.......

ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ที่ชำระประวัติของท่านนั้น มีภูมิจิตภูมิธรรมระดับไหน ? ระลึกชาติผู้อื่นได้มากน้อยแค่ไหน? แล้วพูดประกาศออกมา ผู้ฟังใครจะเชื่อหรือไม่ แค่ไหนด้วย ? และ ถ้าผมจะบอกพวกคุณเราท่านทุกคนว่า ในประเทศไทยเราเองขณะนี้ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า หลวงปู่ทวด สามีราโม เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ ปัตตานี อดีตสังฆราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา หลวงพ่อสมเด็จโต พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา นั้นเป็นองค์เดียวกัน!!!(ตามคำบอกเล่ายืนยันของอ.คุณแม่เกษร สุทธจิตฯ พระอาจารย์ใหญ่แสงทิพย์ฯให้ผมฟังหลายปีมาแล้ว) คือ พระบรมมหาโพธิสัตว์ผู้มีบารมีเต็มแล้ว รอการลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศรีอารยเมตไตรโยในอนาคตกาล จะเชื่อกันหรือไม่ ประการใด?......


บูชาพระเจ้าตากสิน


ประวัติพระเจ้าตาก ตั้งแต่ประสูติจนถึงมรณภาพฉบับสมบูรณ์


เรื่องที่จะนำเสนอนี้ไม่ใช่จากการนั่งทางในมา ..หลวงพ่อท่าน "เดิน" ไปพบพระ ๓รูป (ในโบสถ์ของวัด)


นี่เป็นการสนทนาระหว่างหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน (ขออภัยรอบที่แล้วสะกดชื่อท่านผิด ในหนังสือเรียกท่านว่าพระครู) หลวงปู่เทพโลกอุดร (ในหนังสือเรียกท่านว่าหลวงพ่อในป่า) พระบัวเฮียวและพระภิกษุเจ้าตากรูปแรกใช้กายมนุษย์ ส่วน ๓ รูปหลังใช้รูปของพลังงาน (กายทิพย์)ในการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๒๘แต่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ก.ค. ๒๕๔๙)ขออนุญาตปรับการนำเสนอเป็นรูปแบบคล้าย script บทละคร เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์และทำการย่นย่อ เก็บใจความสำคัญมา แต่พยายามคงอรรถรสการสนทนาไว้ข้อความแทรกในวงเล็บ เป็นของ pook เอง บางตอนเสริมเพื่อให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นบางตอนเป็นข้อสงสัยของ pook ถ้ามีท่านใดจะคลายสงสัยให้ได้ ก็กราบขอบพระคุณค่ะ)ถ้าท่านใดสนใจรายละเอียดรวมทั้งเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจช่วงหลวงพ่อไปจาริกบุญที่อินเดียกรุณาหาอ่านได้จากเล่มเต็มของหนังสือ ความหลงในสงสาร แต่งโดยสุทัสสา อ่อนค้อม

เวลาสองยามตรงที่โบสถ์วัดป่ามะม่วง (ไม่แน่ใจว่าคือวัดอัมพวันหรือเปล่า?) ประเดี๋ยวหนึ่งมีแสงสว่างไสวไปทั่ววัดพระภิกษุสามองค์เดินเรียงเข้ามาที่ประตูโบสถ์ซึงพระครูจรัญเจ้าอาวาสยืนรออยู่ตรงทางเข้าโบสถ์อาการที่เดินของภิกษุทั้ง 3 รูปผิดแผกไปจากคนธรรมดาคือเลื่อนไหลไปข้างหน้ามากกว่าก้าวขาเดิน แสงสว่างไสวเป็นรัศมีของทวยเทพแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ต่างมารายล้อม

พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์กรุงธน ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากเรากับสหายร่วมสาบาน (ร. ๑) (ทรงอนุญาตให้ท่านพระครูใช้ศัพท์สามัญกับพระองค์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “...ท่านอย่าลืมว่าขณะนี้เราเป็นใคร ท่านเป็นใครเราทั้งสองมีความเท่าเทียมกันในทางธรรม มีอาจารย์องค์เดียวกันตัดความหลงในสงสารได้เหมือนกันถ้าท่านคิดว่าเราเป็นกษัตริย์และพูดกับเราด้วยคำราชาศัพท์เราก็ต้องพูดคำราชาศัพท์กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะในเจ็ดชาติที่ท่านระลึกได้นั้นท่านก็เคยเป็นกษัตริย์มิใช่หรือ.... แล้วทำไมจะมาติดอยู่กับสิ่งสมมติ” )



พระภิกษุเจ้าตาก : เราไม่อยากให้มีการเข้าใจราชวงศ์จักรีผิดๆทุกวันนี้มีคนจีนจำนวนมากที่ยังเชื่อว่าเราถูกสำเร็จโทษโดยสหายร่วมสาบานของเราเป็นผู้บงการ (จริงๆแล้ว)มีการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์จริงเพียงแต่คนที่ถูกสำเร็จโทษเป็นสหายอีกคนหนึ่งซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเราถึงขนาดยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตเราไว้บังเอิญว่าเขารูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเรามาก ทั้งที่มิได้เป็นญาติสืบสาโลหิตกัน

พระครูจรัญ : เหตุใดท่านจึงถูกสำเร็จโทษที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าท่านสัญญาวิปลาสก็ต้องไม่จริงเพราะถ้าจริงท่านจะตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารไม่ได้ ผู้ขาดสติมิอาจบรรลุธรรมได้

พระภิกษุเจ้าตาก : คนที่เคยทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นปกตินิสัยแล้วจู่ๆก็เปลี่ยนไปทำในสิ่งตรงกันข้าม คนเขาก็ต้องคิดว่าคนๆนั้นผิดปกติใช่ไหมเหมือนอย่างเรา เราเคยถือดาบออกรบป้องกันบ้านเมือง กู้อิสรภาพให้กับชาติไทยใครๆก็เห็นเราเป็นนักรบผู้เก่งกาจสามารถ เป็นวีรบุรุษ แล้วอยู่ๆเราก็วางดาบไม่จับดาบอีกเลย เอาแต่เจริญวิปัสสนาถ่ายเดียว คนเขาก็เลยว่าเราบ้า

พระภิกษุเจ้าตาก : เพราะอาจารย์ที่เคารพของพวกเราน่ะสิ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) วันหนึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ในป่าตกดึกมีพระรูปหนึ่งเข้ามาถึงตัวเรา เราก็ถามท่านว่าเข้ามาได้อย่างไรเพราะนั่นย่อมหมายถึงความปลอดภัยของตัวเรา เกิดผู้ที่เข้ามาเป็นข้าศึกเราก็อาจจะถูกฆ่าตาย พระรูปนั้นตอบว่าเดินเข้ามาเราก็ถามอีกว่าทหารยามไม่เห็นท่านหรือ ท่านก็ตอบว่าไม่ทราบเราก็คิดว่าจะต้องลงโทษทหารผู้ทำหน้าที่เป็นเวรยามท่าก็พูดขึ้นมาว่าไม่ต้องคิดแต่จะเพ่งโทษผู้อื่น ขอให้สำรวจตัวเองเพ่งโทษตัวเองดีกว่า เราก็รู้สึกแปลกๆว่าทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้อยากจะโกรธแต่ก็ไม่กล้า แล้วท่านก็พูดให้เราสะเทือนใจว่า มหาบพิตรฆ่าคนมามากมีมือเปื้อนเลือด บาปมาก ตายไปจะต้องตกนรกหากเป็นคนธรรมดาพูดเช่นนี้เราคงสั่งตัดหัวไปแล้ว แต่นี่เป็นพระพูด เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดเราก็เรียนท่านว่าเราเป็นกษัตริย์ มีหน้าที่ทำสงครามปกป้องแผ่นดิน ท่านก็พูดว่า บัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วการกู้ชาติเป็นหน้าที่ของมหาบพิตร แต่การทำสงครามปกป้องประเทศชาติมหาบพิตรควรยกให้ผู้อื่น มีคนที่เขาสามารถทำหน้าที่แทนมหาบพิตรได้จงอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตรเราก็ถามท่านว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า เพื่อตัดความหลงใน(วัฏ)สงสาร หากมหาบพิตรครองราชสมบัติต่อไปก็จะไม่สามารถตัดความหลงใน(วัฏ)สงสารได้ซึ่งหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบากหากมหาบพิตรไม่ตัดความหลงในสงสารก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดวกวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นอาตมารู้ว่ามหาบพิตรสามารถตัดความหลงในสงสารได้ จึงมาหา

หลวงปู่เทพโลกอุดร : เราได้ให้กรรมฐาน (ทำอย่างไร?? สอนวิธีปฏิบัติหรืออย่างไร) แก่พระยาตากเมื่อรับกรรมฐานจากเราแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ยอมจับดาบอีกไม่ยอมออกศึกสงคราม เอาแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานคนที่ไม่เข้าใจก็เลยพากันคิดว่าเขาบ้า

พระครูจรัญ :เพราะอะไรประวัติศาสตร์ในกรุงธนบุรีจึงถูกบันทึกให้ผิดไปจากความเป็นจริงมากอย่างนั้นขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก : เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติน่ะสิรู้ไหมว่าเราเป็นกษัตริย์ที่อาภัพที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ตอนเราขึ้นครองราชย์เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย เราต้องเป็นหนี้ชาวจีนถึงหกหมื่นตำลึงซึ่งถ้าคิดเป็นเงินสมัยนี้ (๒๕๒๘) ก็เท่ากับ ๒๔๐,๐๐๐ บาทสมัยก่อนเงินหมื่นตำลึงมีค่ามาก ถ้าเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหามาผ่อนให้ได้แต่นี่เขาคิดจะยึดประเทศเราไปเป็นของเขา เขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้เรากับสหายร่วมสาบานก็เลยต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรแล้วเราก็คิดออกว่า การผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุดท่านอย่าคิดว่าเราตั้งใจจะโกง แต่ในเมื่อเขาคิดไม่ดีกับเราเราจึงต้องใช้เล่ห์กลกับเขา อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าเราก็ไม่มีแก่ใจจะครองราชย์อีกต่อไปแล้ว เราอยากตัดความหลงในสงสารให้เด็ดขาดเราสมเพชตนเองที่เป็นกษัตริย์ยากจนเข็ญใจเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ไม่มีเบญจราชกกุธภัณฑ์ (เครื่องแสดงความเป็นกษัตริย์ ๕สิ่ง) พระยามหานุภาพจึงเขียนสดุดีเราไว้ในนิราศกวางตุ้งว่า

ชะรอยอรรถบุรุษอุดมวงศ์

ในสิบองค์โพธิสัตว์ดุสิตสวรรค์

ได้รัฐยาเพททายทำนายพรรณ

ในอนันต์สำนักชิเณรนาน

จึงดลใจให้พระองค์ทรงนั่ง

บัลลังก็รัฐรสพระธรรมกัมมัฏฐาน

ให้ทรงเครื่องนพรัตน์ชัชวาล

พระชมฌานแทนเบญจกกุธภัณฑ์

เอาพระไตรลักษณ์ทรงเป็นมงกุฎ

พระงามสุดยอดฟ้าสุทธาสวรรค์

เอาพระศีลสุจริตในกิจกรรม์

เป็นสุวรรณเนาวรัตน์สังวาลย์

เอาพระมุติธรรม์เป็นคันฉัตร

เอาพระสัจจะเป็นระใบไพศาล

ล้วนเครื่องศีลวัตรอันชัชวาล

พระอุเบกขาญาณเป็นธารกร

ฯลฯ

พระครูจรัญ : แต่กระผมชอบจารึกในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวรารามที่แสดงให้เห็นถึงปณิธานอันแน่วแน่ของท่านที่มีต่อพระพุทธศาสนา บัวเฮียวเธออยากรู้ไหมว่า จารึกมีว่าอย่างไร

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก

ทนทุกข์ยาก กู้ชาติพระศาสนา

ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา

แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม

ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี

สมณพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้เหมาะสม

เจริญสมถะวิปัสสนา พ่อชื่นชม

ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา

คิดถึงพ่อ พ่ออยู่คู่กับเจ้า

ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา

พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา

พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

พระครูจรัญ :ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าท่านเป็นลูกคนจีน บิดาชื่อนายไหฮอง มารดาชื่อนางนกเอี้ยงกระผมสงสัยว่าจะไม่ตรงความจริงขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก :เรื่องนี้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน นอกจากเรากับโยมมารดา แม้แต่โยมบิดา (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ก็ไม่รู้ ประวัติของเราคล้ายคลึงกับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ตรงที่โยมแม่ของเราตั้งครรภ์โดยที่โยมพ่อไม่ทราบ โยมมารดาของเราเป็นสนมลับๆของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์องค์ที่ ๓๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาทั้งพระเจ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศน์ก็ไม่ทรงทราบว่าเราเป็นโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่เกิดจากสนมลับชาวจีนที่ชื่อ ไหฮองซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกว่าเป็นชื่อบิดาของเรา ความจริงไหฮองเป็นชื่อของโยมมารดา ส่วน นางนกเอี้ยงไม่มีตัวตน การที่โยมมารดาไม่ได้กราบทูลโยมบิดาให้ทรงทราบเนื่องจากเกรงจะเป็นอันตรายแก่เรา เมื่อคลอดเราแล้ว ท่านก็ได้สามีใหม่เป็นคนจีนและมีลูกสาวคือน้องสาวของเรา สมัยนั้นผู้หญิงต้องพึ่งสามี คือต้องมีสามีหาเลี้ยงโดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในรั้วในวัง เช่นมารดาเราเมื่ออกมาใช้ชีวิตแบบสามัญชนก็ทำไร่ไถนาไม่เป็น ต้องพึ่งสามีไม่เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ ที่พึ่งตัวเองได้

เรื่องของเราก็เหมือนลิเกนะโยมมารดาได้สร้างเรื่องขึ้นว่า เราเป็นลูกคนจีน บิดาชื่อนายไหฮองมารดาชื่อนางนกเอี้ยง และเรื่องที่สร้างขึ้นนี้ก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ที่โยมมารดาทำเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของเราเราไม่คิดว่าเป็นความผิดแต่ประการใดและเราก็ไม่ตำหนินักประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวอันเป็นความเท็จเพราะเขาบันทึกตามข้อมูลเพียงแต่ข้อมูลนั้นถูกบิดเบือนเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติซึ่งนักประวัติศาสตร์เองก็ไม่รู้ เราจึงพูดว่า ไม่มีประวัติศาสตร์ของชาติไหนที่จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง

พระครูจรัญ :ท่านจะกรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนที่ท่านกู้เอกราชให้ฟังได้ไหมขอรับ กระผมอยากทราบว่าตรงกับ ประวัติศาสตร์ มากน้อยเพียงใด

พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ตอนเรากู้ชาติตรงกับความจริงเพียงแต่มีบางเรื่องไม่ได้บันทึกเอาไว้ อย่างเรื่องที่เราตีเมืองจันทบุรีเราได้พามารดาและน้องสาวไปไว้ที่ราชบุรีก่อน จากนั้นจึงมุ่งหน้าตีจันทบุรีประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่เพียงว่า เราสั่งทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้งความจริงเราทำมากกว่านั้น คือหลังจากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว เรามาพิจารณาว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาสาหัสและยืดยาว จึงให้สร้าง พระยอดธงแบบกรุงศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง-มหากาบรรจุไว้ในองค์พระ (พระยอดธงคือพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่สร้างไว้บนยอดธงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้รบชนะข้าศึก)เราเองก็เจริญรอยตามสงเด็จพระนเรศวรด้วยการเจริญพาหุง-มหากา (แต่งโดยพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ขององค์นเรศวร) หรือบทถวายพรพระในปัจจุบันเป็นบทที่มีอานุภาพมาก

พระครูจรัญ :แล้วสหายของท่านกับน้องชายไปช่วยตีจันทบุรีด้วยหรือเปล่าครับ

พระภิกษุเจ้าตาก : ยังไม่ได้ไป เพราะตอนนั้นบ้านเมืองกำลังระส่ำระส่ายไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ก่อนตีจันทบุรี เราไปตั้งทัพที่ระยองได้แอบซ่องสุมผู้คนและอาวุธที่ถ้ำแห่งหนึ่ง (วัดถ้ำวัฒนมงคล กิ่งอำเภอเขาชะเมา)ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์หลงเหลืออยู่ในถ้ำนี้ (ปี ๒๕๒๘)เมื่อเราตีจันทบุรีและตั้งทัพที่นั่น สหายของทเรากับน้องชายก็มาสมทบที่เราประทับใจและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณสองพี่น้องมากก็คือเขาไปรับมารดาและน้องสาวเราจากราชบุรีมาด้วย จากนั้นเราก็วางแผนตีก๊กเจ้าพระฝาง

พระบัวเฮียว : กระผมอยากฟังเจ้าตากเล่าเรื่องการกู้ชาติครับ

พระภิกษุเจ้าตาก : หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่าเมื่อปี ๒๓๑๐บ้านเมืองระส่ำระสายมาก พม่าเผาผลาญถล่มทลายกรุงศรีฯ เสียย่อยยับวัดวาอารามถูกทำลายยับเยิน พระศรีสรรเพชญ์ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมีความสูงถึง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนักสองหมื่นบาทก็ถูกพม่าใช้ไฟลนเผาลอกเอาทองคำขนกลับไปเมืองตน ประชุมพงศาวดารภาค ๖ได้บันทึกเร่องราวต่างๆตอนเสียกรุงไว้ว่า พม่าเข้ากรุงได้เป็นเวลากลางคืนพม่าไปถึงไหนก็เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนของชาวเมือง ปราสาทราชมณเฑียรไฟไหม้ลุกลามสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดต่อสู้ก็เที่ยวเก็บรวบรวมทรัพย์สิน จับผู้คนอลหม่านไปทั่วพระนครแต่เป็นเพราะเป็นเวลากลางคืน พวกชาวเมืองจึงหนีรอดไปได้มาก พม่าจับได้สัก ๑๐,๐๐๐ คนส่วนพระเจ้าเอกทัศน์นั้น มหาดเล็กพาลงเรือน้อยหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ที่บ้านจิกริมวัดสังฆาวาส แต่พม่ายังหารู้ไม่ จับไม่ได้แต่พระเจ้าอุทุมพรซึ่งทรงผนวชกับทั้งเจ้านายข้าราชการใหญ่น้อยจำนวนมากและพระที่หนีไม่พ้น พม่าจับไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ผู้คนแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามีก๊กที่สำคัญอยู่ถึง ๖ ก๊กด้วยกัน ก๊กที่ร้ายกาจที่สุดคือก๊กเจ้าพระฝางซึ่งมีหัวหน้าเป็นพระภิกษุ แต่เสพสุรา ฆ่าคน และทำลามกอนาจราต่างๆเจ้าฝางในเครื่องแต่งกายของบรรพชิต คุมกองทัพสงฆ์ออกจี้ปล้นทรัพย์สินของราษฎรทำให้เสียภาพลักษณ์ของพระศาสนาอย่างร้ายแรง

เมื่อเราปราบก๊กสำคัญ ๔ ก๊กได้แล้วจึงยกกองทัพไปตีก๊กเจ้าพระฝางซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่พิษณุโลกกองทัพของเราตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เจ้าพระฝางหนีไป เป็นอันว่าก๊กทั้ง ๕พ่ายแก่ก๊กพระยาตาก เมื่อได้ชัยชนะแล้ว เราก็คิดว่าจะฟื้นฟูปฏิสังขรณ์กรุงศรีฯแต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะทำให้กรุงศรีฯรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้เราเริ่มวิตกกังวล คืนหนึ่งเราจึงแก้ปัญหาด้วยการสวดพาหุง-มหากาแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ดวงพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีฯในอดีตทุกพระองค์และขอให้ท่านเหล่านั้นช่วยหาทางออกให้แก่เราด้วย จากนั้นเราก็หลับไป

เราเห็นสมเด็จพระนเรศวรกับอาจารย์ของท่านที่รู้เพราะพระเถระรูปนั้นท่านพูดว่า อาตมาคืออาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรที่จะมาช่วยท่านแก้ปัญหากรุงศรีฯเสียหายเกินกว่าจะปฏิสังขรณ์ได้ ทั้งพม่าก็รู้ลู่ทางโจมตีขอท่านจงย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงธนบุรี และสถาปนาตัวท่านขึ้นเป็นกษัตริย์เถิดอาตมาขอถวายพระพรจากนั้นสมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า ขอต้อนรับกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีขอพระองค์จงทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาวสยามแล้วภาพนั้นก็หายวับไป เราตื่นขึ้นมากลางดึก จิตสัมผัสกับความสงบเย็นผิดกับคนที่ฝันร้าย ซึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวาดกลัวและเหงื่อไหลโทรมกายเรารู้สึกเหมือนกับว่ามิได้ฝันไป เพราะภาพนั้นยังฝังแน่นอยู่ในมโนนึกมาจนบัดนี้ (องค์ดำมาหาเจ้าตากจริงหรือเปล่าคะ)

พระราชดำรัสในสมเด็จพระนเรศวรทำให้เราตั้งปณิธานในบัดนั้นว่าจักทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไปและนี่เองคือที่มาของปณิธานของเราที่ท่านกล่าวเมื่อครู่นี้การสู้รบสมัยนั้นต้องการขวัญและกำลังใจการสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดคือการน้อมนำพระธรรมคำสอนเข้ามาไว้ในใจพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ เมื่อใดที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศสยามเมื่อนั้นประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เราจึงยังอยู่ แม้หมดความหลงในสงสารแล้วก็เพื่อคอยปกป้องดูแลชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังที่เรากล่าวไว้ว่า คิดถึงพ่อพ่ออยู่ คู่กับเจ้า

เมื่อกรุงแตกเราเป็นผู้นำทหารตีฝ่าวงล้อมพม่าจากกรุงศรีฯมาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรีช่วงที่ตีฝ่าวงล้อมออกไป มีเหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกล่าวคือทุกครั้งที่ทหารพม่าตามมาประชิดตัว ก็จะมีไฟลุกโพลงขึ้นในจุดใกล้ๆ กันทำให้ทหารพม่าเบนความสนใจไปที่กองไฟ เราก็เลยหนีรอดมาได้มารู้ภายหลังว่าเพื่อนเก่าของเราตามมาช่วย เพื่อนเก่าสมัยเป็นศิษย์วัดด้วยกันตอนเป็นเด็กโยมมารดาพาเราไปฝากเป็นลูกศิษย์วัดเราเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาได้ฝึกอาวุธและคาถาอาคมร่วมกับเพื่อนอีก ๔ คน (ผู้ใดทราบชื่อท่านบ้างคะ)แต่ละคนมีความถนัดต่างกัน พวกเขาคอยตามช่วยเหลือเราโดยที่เราไม่รู้ภายหลังที่เราตกลงกับสหายของเราให้ขึ้นครองราชย์แทน และเราได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์พวกที่ไม่เข้าใจแผนการอันแยบยลนี้เลยพากันกบฏแบ่งออกเป็นหมู่เป็นเหล่าเหมือนเหตุการณ์ก่อนกรุงแตกในที่สุดกบฏกลุ่มหนึ่งอ้างคำสั่งของสหายเราให้นำเราไปประหารทั้งที่เราอยู่ในเพศบรรพชิตซ้ำร้ายกว่านั้นคือเกิดกบฏซ้อนกบฏ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บ้านเมืองระส่ำระสายเราก็ได้เพื่อน ๔ คนนี้แหละพาลงเรือหนีไปนครศรีธรรมราชจากนั้นเราก็ไม่ได้พบพวกเขาอีกเลย เราได้ทราบภายหลังว่าเขาไม่อยากเป็นนักรบอีกกลับไปใช้ชีวิตชาวบ้านธรรมดา หากเราไม่ได้เพื่อน ๔ คนนี้ก็คงต้องตายอยู่ในสมณเพศและพวกที่ฆ่าเราก็ต้องบาปสาหัสมาก

พระครูจรัญ : ช่วงระยะนั้นท่านตัดความหลงในสงสารได้แล้วหรือขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก : ยังแต่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว (ได้โสดาบัน?) เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าได้ไม่นานก็เร่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้ดวงตาเห็นธรรม และได้เรียกสหายของเราให้มาหา

พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้ข้าหลวงไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาพบในเครื่องแบบนักรบมีดาบมาด้วย เขาคิดว่าคงจะทรงใช้ให้ไปทำสงครามกับผู้หนึ่งผู้ใด เป็นแน่ครั้นมาเห็นเรานั่งอยู่ในห้องพระแต่ผู้เดียว ในชุดนุ่งขาวห่มขาวสหายของเราก็รีรออยู่ไม่กล้าเข้ามา เพราะเห็นว่าเราอยู่คนเดียวและไม่มีอาวุธข้างกายเลย เราจึงบอกว่า ด้วงเข้ามาสิ เข้ามาหาข้า เอาดาบมาด้วยท่านลองคิดดู ถ้าสหายของเราคิดก่อกบฏจริงก็คงถือโอกาสตอนนี้

แต่เพราะเขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จึงวางดาบไว้ข้างนอกแล้วค่อยๆคลานเข้ามาใกล้ หมอบอยู่ห่างวาหนึ่ง

เราก็บอกอีกว่า ด้วง เข้ามาใกล้ๆเอาดาบของเจ้ามาวางไว้ข้างหน้า

สหายของเราคลานไปหาดาบแต่แทนที่จะเอามาไว้ใกล้ๆ อย่างที่เราสั่ง เขากลับกระทุ้งให้ไกลออกไปอีกแล้วจึงคลานเข้ามาใกล้ประมาณสองศอก หมอบกราบถวายความเคารพเป็นอย่างดีเราจึงถามเขาว่า ด้วงอยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหมเราพูดเท่านี้แต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีอาการตกใจนัก ถึงกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าก้มลงกราบแล้วก็มิได้ตอบว่ากระไร เราก็ถามใหม่อีกว่า ด้วง ได้ยินหรือเปล่าข้าถามว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหมสหายของเราตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดเลยพระเจ้าข้า อยู่อย่างนี้ก็สบายแล้วเราจึงถามเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่สหายของเราตอบนั้นมาจากใจจริงหรือไม่

ด้วงข่าวว่าทหารพม่ามาหาเจ้าบ่อยๆรึ

มาครั้งเดียวพระเจ้าค่ะ

เขามาเรื่องอะไร

เขามาถามว่ามีความสุขสบายดีรึข้าพระพุทธเจ้าก็ตอบว่าสบายดีเพราะในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาเวลานี้จึงมีความสุขมากเมื่อท่านตอบเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าสหายของเราไม่ได้คิดกบฏไม่คิดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงดังที่คนอื่นเข้าใจผิดเมื่อเราเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เราจึงบอกเขาไปว่า

ด้วง ข้าจะให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเอาไหม

สหายของเรากราบถวายบังคมอีกครั้ง พร้อมทั้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อคงจะคาดไม่ถึงว่าเราจะพูดแบบนี้กับเขา

เหตุที่เราถามอย่างนี้เพราะสมัยที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตีพิษณุโลกเราได้ให้สหายของเรายกทัพไปรบกับอะแซหวุ่นกี้ ขุนพลเฒ่า แต่เพราะฝีมือทัดเทียมกันการรบจึงไม่มีใครแพ้ใครชนะ อะแซหวุ่นกี้ใช้อุบายพักรบหนึ่งวัน และขอดูตัวแม่ทัพครั้นเห็นสหายเรา ก็พยากรณ์ว่า

ต่อไปท่านจะได้เป็นกษัตริย์ขอจงรักษาตัวไว้ให้ดี

ความจริงอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้เป็นโหรหรือมีความรู้ทางโหราศาสตร์แต่ประการใดแต่เป็นลีลาของข้าศึกที่จะยุแยงให้ไทยฆ่ากันเอง บังเอิญคำพยากรณ์มาตรงกับความจริงโดนที่อะแซหวุ่นกี้เองก็คาดไม่ถึงเรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งสมัยที่เรากับสหายของเราบวชเป็นพระภิกษุ

วันหนึ่งเรากับสหายของเราไปบิณฑบาตด้วยกันซินแสผู้หนึ่งเดินสวนทางมา เขาก็หยุดมองหน้าเรา เสร็จแล้วก็มองหน้าสหายของเราแล้วก็กลับมามองเราอีก เราจึงถามว่า โยมมองอะไรรึ รึว่าอาตมานุ่งห่มไม่เรียบร้อยแกก็ยิ้ม แล้วส่ายหน้าไปมา เดินไปสักประเดี๋ยวก็เดินกลับมาอีกพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า

อักซาจัง อักซาจังจิงๆในหลวงสององค์มาบิงทะบากล่วยกัง

พอซินแสพูดเช่นนั้น ผู้คนก็พากันสาธุแต่บางคนก็พูดขึ้นว่า สงสัยตาแป๊ะนี่แกจะแก่จนหลงถึงได้พูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ถ้าในหลวง (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มาได้ยินรับรองหัวขาดแน่

พระครูจรัญ :ในที่สุดคำทำนายทายทักของซินแสก็กลายเป็นความจริงกระผมคิดว่าท่านน่าจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์นะขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก :เราก็คิดอย่างท่าน แต่สำหรับอะแซหวุ่นกี้เขามีความประสงค์จะให้เรากับสหายเป็นศัตรูกัน เพราะถ้าคนไทยรบกันเองพม่าก็จะกลืนชาติได้ง่ายเพราะฉะนั้นการที่เราสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าเฝ้าให้แต่งชุดนักรบถือดาบเข้ามาด้วย ก็เพื่อจะทดสอบใจสหายของเราว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินตามคำพยากรณ์ของอะแซหวุ่นกี้หรือไม่แต่ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรสหายผู้ซื่อสัตย์ของเราก็ไม่ยอมตกปากรับคำที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบอกแต่ว่ามีความสุขแล้ว มีความชื่นใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศว่า

ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิตหากมีผู้คิดทรยศต่อพระองค์เมื่อเราได้ทดลองน้ำใจของสหายจนเป็นที่แน่ใจแล้วจึงพูดแบบเพื่อนว่า

ด้วง ต่อไปเจ้าจงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนข้านะเจ้าเป็นเพื่อนข้า แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ข้าไว้วางใจเจ้าเมื่อเราพูดอย่างนี้ สหายของเราก็ยังนิ่งอยู่ในท่าหมอบกราบ เราจึงบอกว่า

ด้วงลุกขึ้นนั่งให้สบาย เงยหน้าขึ้น เวลานี้ไม่มีใคร เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเคร่งเรื่องระเบียบประเพณีนักหรอก ข้าก็ถือว่าด้วงเป็นเพื่อนข้าเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ต่อไปนี้เจ้าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะข้าจะสละราชสมบัติ แต่การที่จะสละราชสมบัติเฉยๆย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องมีกุศโลบายเพราะมีเงื่อนไขต่างๆมากมายที่ต้องทำตามสหายของเราพูดขึ้นว่า

ข้าพระพุทธเจ้ารับไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะพระองค์ก็มีพระราชโอรสในเมื่อพระองค์จะสละราชสมบัติ ก็ควรให้แก่พระราชโอรสเราจึงบอกเขาว่า

ด้วงความจริงลูกชายข้าเขาก็เป็นคนดีนะ มีคนรักเขามาก ทหาร ข้าราชการทั้งหมดก็รักเขาแต่ข้าให้เขาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้หรอก เพราะว่าบ้านเมืองของเรายังไม่มั่นคงนักเพิ่งกู้ชาติได้ใหม่ๆ ถ้าลูกข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะกลายเป็นหุ่นให้เขาเชิดไปเขาครองเมืองไม่ได้ ด้วงจะต้องครองเมือง เพราะข้าไม่เห็นใครที่มีความเข้มแข็งสามารถรักษาเมืองต่อไปได้ นอกจากเจ้าสหายเราแย้งว่า

เวลานี้พระองค์ก็ยังไม่ชราภาพ จึงยังไม่ควรจะสละราชสมบัติพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทั้งชาติแล้วก็ชาวจีนด้วย ถ้าขาดพระองค์เสียข้าพระพุทธเจ้าเถลิงราชเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความดีก็คงมีไม่ถึงพระองค์ความเชื่อถือของบุคคลทั่วไปก็จะไม่มีเท่าที่มีในพระองค์ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าประเทศชาติอาจจะต้องสลายไปก็ได้

เมื่อสหายของเราพูดมาอย่างนี้ เราจึงต้องเล่าความจริงให้ฟังว่า

ด้วงเวลานี้ข้าเป็นหนี้ชาวจีนอยู่ ๖๐,๐๐๐ ตำลึง ความจริงเงินจำนวนเท่านี้ถ้าหากเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหาได้แต่ทางจีนเขาต้องการจะยึดประเทศไทยไปเป็นประเทศของเขา เขาต้องการจะกลืนเราเขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้ แล้วเจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนเข็ญใจมาก เพราะไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยเงินในท้องพระคลังก็ไม่มีสักแดงเดียวเวลานี้เบี้ยหวัดเงินปีของข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนก็ยังติดค้างเขาอยู่มากข้าได้กู้เงินจากประเทศจีนมาใช้จ่าย เวลานี้ข้ากันเงินไว้สองส่วนส่วนหนึ่งเป็นเงินให้กับข้าราชการ เป็นเบี้ยหวัดเงินปีที่คั่งค้างอยู่อีกส่วนเป็นเงินที่ข้าเก็บรักษาไว้เพื่อเจ้าจะได้มีใช้จ่ายเมื่อเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพราะข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อน ไม่มีเงินทอง มีความลำบากมากข้าเห็นใจจึงไม่อยากให้เจ้าเป็นอย่างข้าแต่เรื่องที่จะต้องให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็มีอยู่ว่า

เมื่อเจ้าหนี้มาทวงข้า เมื่อข้าพ้นจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้สินนี้แทนข้า เพราะเป็นคนละคนกันที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะข้าคิดจะโกงเขา แต่เขาจะเอาเราไปเป็นประเทศของเขาเขาคิดไม่ดีกับเราก่อน เราก็ต้องหาทางป้องกันรักษาประเทศของเราเอาไว้แต่การที่จะเ)็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น จู่ๆจะยกให้เจ้าเป็นแล้วข้าสละราชสมบัติอย่างนั้นทำไม่ได้ เพราะเขาจะรู้เท่าทันแผนการของเราเราจึงต้องใช้กุศโลบายที่แยบยล เวลานี้เมืองเขมรเกิดจลาจลข้าจะให้เจ้ากับเจัาพระยาสุรสีห์น้องชายเจ้ายกทัพไปปราบเมืองเขมรแล้วเวลาที่เจ้าไปก็ให้เอาลูกชายข้าไปด้วยถ้าตีเมืองเขมรได้เมื่อไรก็ให้ลูกชายข้าครองเมืองที่นั่นแล้วข้าอยู่ทางนี้ก็จะทำเป็นวิกลจริตแล้วก็จะแนะให้ข้าราชการบางคนที่นี่จับข้าบวชเสีย ข้าก็จะทำเป็นบ้าไม่สามารถปกครองประเทศต่อไปได้เมื่อเจ้ามาก็ให้ทำพิธีปราบดาภิเษกเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วเนรเทศข้าไปอยู่หัวเมืองเสีย เรื่องมันก็

พระครูจรัญ :แต่กระผมรู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้นะขอรับเพราะต่อมาหลังปราบดาภิเษกมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนจีนเขาสะเทือนใจและขุ่นข้องแค้นเคืองมาจนทุกวันนี้



พระภิกษุเจ้าตาก :ท่านคงหมายถึงเหตุการณ์ที่ลูกหลานเราถูกจับลงเรือลอยไปในปากอ่าวแล้วเรือล่มทำให้ตายทั้งลำเรือคนก็พากันเข้าใจว่าเป็นการกระทำของสหายของเราและน้องชายของเขาซึ่งความจริงแล้วสหายของเรามิได้มีเจตนาเช่นนั้นแต่ที่คนหลายกลุ่มที่มักใหญ่ใฝ่สูงต้องการเป็นใหญ่ เลยเกิดกบฏซ้อนกบฏ (มีผู้คิดกบฏต่อร. ๑) วุ่นวายกันไปหมด อ้างคำสั่งของร.๑ให้นำลูกหลานเราไปลอยแพและฆ่าเสียทั้งที่ทรงตั้งพระทัยจะให้ลูกหลานเราอพยพไปอยู่ที่นครศรีธรรมราชซึ่งเราไปบวชที่นั่น แต่พวกกบฏถือโอกาสฆ่าเสียเพื่อขจัดเสี่ยนหนามประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งมุ่งหวังได้ความดีความชอบจากในหลวงคนพวกนี้ในที่สุดก็ได้รับกรรมทันตาเห็นเราคิดไม่ผิดที่เลือกสหายของเราขึ้นครองราชย์แทนที่จะเป็นลูกชายของเราเพราะราชวงศ์จักรีได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึงปัจจุบันและคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือเราเพราะถ้าเราไม่บวชก็จะไม่สามารถตัดความหลงในสงสารได้เลย

พระครูจรัญ :กระผมอยากทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ท่านส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมรขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้สหายเราและน้องชายนำทัพไปปราบจลาจลในเขมรและให้ลูกชายเราไปด้วยอยู่ทางนี้ก็นัดแนะกันว่าให้พระยาสรรค์จับเราซึ่งใช้อุบายเป็นคนวิกลจริตพอดีกับเวลานั้นพระสงฆ์ประพฤติเสียหายกันมากเราเรียกพระทั้งหลายเข้ามาแล้วประกาศว่า เราเป็นพระโสดาบัน และถามพระทั้งหลายว่าพระที่เป็นปุถุชนจะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ ถ้ารูปไหนตอบว่า ไม่ได้ก็ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนต่อหน้าประชาชน การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นวาเราเป็นคนสัญญาวิปลาสผิดจากมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่น่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อีกต่อไป

พระบัวเฮียว :พระเถรเจ้าสั่งให้เฆี่ยนพระ แล้วไม่บาปหรือขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก :เราไม่ได้สั่งให้เฆี่ยนพระ แต่ให้เฆี่ยนคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองหมายความว่าคนที่เราเฆี่ยนไม่ใช่พระ คือเราให้หานักโทษประหารมาโกนหัวแล้วก็ให้นุ่งผ้าเหลือง มิได้มีการบวชแต่อย่างใดอย่างที่บอกเราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของชาติบ้านเมือง ต่อมาทางอยุธยามีเรื่องขึ้นแต่ไม่ร้ายแรงเท่าไร เราสั่งให้พระยาสรรค์ยกกองทัพไปปราบเสร็จแล้วให้ยกกลับมากรุงธนบุรีและล้อมพระราชฐานไว้ และจับเราบวชเสียซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตรมแผนกระนั้นก็ปรากฏว่ามีนายทหารที่จงรักภักดีและมีฝีมือจะต่อสู้ เราต้องประกาศมิให้สู้เพราะบุญวาสนาของเราหมดแล้ว บ้านเมืองควรเป็นของสองพี่น้องเขาพระยาสรรค์บังคับให้เราบวช แล้วกักบริเวณไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณฯ

แต่ต่อมาพระยาสรรค์คิดกำเริบเสิบสาน อยากเป็นใหญ่ หลงใหลตำแหน่งนำเงินที่เราเก็บไว้ไปแจกจ่าย ซื้อพรรคพวกให้สนับสนุน และตั้งตนเป็นกษัตริย์สหายของเราทราบข่าว นำทัพกลับมาตั้งอยู่ที่ วัดสะแกพวกทหารแลข้าราชบริพารอัญเชิญให้เถลิงราชสมบัติ สหายเราสระผมที่วัดและแต่งกายให้ดีเตรียมตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน วัดนี้จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น วัดสระเกศเมื่อมาถึงกรุงธนบุรี สหายเราในฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งประหารชีวิตพระยาสรรค์ที่ทำการเกินพอดีและสั่งประหารชีวิตเราโดยการทุบด้วยท่อนจันทน์ สหายคนที่หน้าตาเหมือนเรา (หลวงอาสาศึก) รับอาสาตายแทน คนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้มีเพียง ๒ คนคือสหายของเราและน้องชายของเขา เพราะได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว วันั้นตรงกับวันที่ ๕เมย. ๒๓๒๕

หลังประหารชีวิตเสร็จ ในเวลากลางคืนสหายของเราก็ส่งเราไปนครศรีธรรมราชโดยออกไปทางราชบุรี พักที่ปากท่อก่อนคนที่ติดตามเราไปชื่อเจ้าพัฒน์ซึ่งต่อมาคือเจ้าพระยาพัฒน์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชนอกจากนี้เจ้าพัฒน์ยังได้พาชายาคนสุดท้ายของเราซึ่งตั้งท้องอ่อนๆไปด้วยเมื่อไปถึงเจ้าพัฒน์ได้พาเราไปอยู่วัดๆหนึ่งเราตั้งใจบวชไม่สึกจึงขอให้เขารับชายาของเราเป็นภรรยาเขาและขอให้รับบุตรในครรภ์เป็นบุตรของเขาด้วย แต่เจ้าพัฒน์จงรักภักดีจึงปฏิเสธที่จะรับชายาของเราไปเป็นภรรยา เขาเลี้ยงดูชายาของเราอย่างดีที่สุดต่อมาชายาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชาย เจ้าพัฒน์ก็ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีบุตรคนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสืบต่อจากเจ้าพระยาพัฒน์ในสมัยร.๓ ซึ่งทรงทราบว่าเป็นบุตรของเรา แต่ก็ยังทรงแต่งตั้งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่ารางวงศ์มิได้มีเรื่องบาดหมางกับเราบุตรผู้นี้ก็คือต้นตระกูล ณ นครและยังมีบุตรธิดาที่เกิดจากภรรยาคนก่อนๆซึ่งต่อมาคือต้นตระกูล ณ นครราชสีมาและ อินทรกำแหงด้วย

สหายของเราและน้องชายของเขาได้บำรุงเลี้ยงเราเป็นอย่างดีแต่งตั้งเจ้าพัฒน์เป็นเจ้าพระยาเพราะเห็นว่าเขาจงรักภักดีต่อเราทั้งที่ไม่รู้ถึงแผนการณ์อันแยบยลที่เรากับสหายคิดขึ้นหากสหายของเราคิดไม่ดี หรือที่คนสมัยนั้นพากันกล่าวหาว่าเขาเป็นกบฏเขาก็ต้องสั่งประหารชีวิตเจ้าพัฒน์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเสี้ยนหนามของเขาแต่นี่เขาแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาให้ครองเมือง จะได้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่เราสหายผู้นี้มีบุญคุณต่อเรามาก ราชวงศ์ของเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาทุกยุคทุกสมัยนี่คือความจริงซึ่งไม่ตรงกับที่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

พระภิกษุเจ้าตาก : เมื่ออยู่เมืองนครได้ ๒ ปีก็อยากจะมาอยู่เมืองเพชรบุรี ในตอนแรกเจ้าพัฒน์ไม่อยากให้เรามาแต่เมื่อเรายืนยันที่จะมา เจ้าพัฒน์จึงให้คนติดตามมา ๒ คน และให้อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเราได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ ไม่นานนักก็ ตัดความหลงในสงสารได้เพราะหลวงพ่อใบป่าเมตตาสอนกรรมฐานอย่างใกล้ชิด

หลวงปู่เทพโลกอุดร :วันที่พระยาตากบรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่เขาละสังขาร

พระภิกษุเจ้าตาก :ขณะที่เราดูดดื่มอยู่ในวิมุติสุข ก็ถูกชายฉกรรจ์ ๒ คนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศีรษะครั้นเห็นเราไม่เป็นอะไรเพราะกำลังอยู่ในภาวะแห่งความหลุดพ้นเขาทั้งสองก็กระหน่ำไม้คมแฝกลงไปอีกอย่างนับไม่ถ้วน เสร็จแล้วก็พากันหนีไปคงจะคิดว่าอย่างไรเสียเราก็คงไม่รอดชีวิตไปได้เพราะถูกตีหนักถึงปานนั้นคนดูแลเราก็ถูกฆ่าปิดปากทั้ง ๒ คน

พระบัวเฮียว :ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยพระเถรเจ้าเล่าครับ

หลวงปู่เทพโลกอุดร :เรื่องของกรรมไม่มีใครช่วยได้ พระยาตากสร้างกรรมไว้มากจึงต้องรับผล

พระภิกษุเจ้าตาก :คนร้ายเป็นคนของฝ่ายที่คิดจะเอาความดีความชอบจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลกเพราะในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าคนที่ถูกสำเร็จโทษไม่ใช่เราเลยกลัวว่าสหายของเราจะรู้เรื่องนี้ จึงพยายามสืบหาเราจนพบ สหายของเรายังมิทันลงโทษกรรมก็ลงโทษพวกเขาเสียก่อน ก็อย่างที่บอกแล้วว่าเกิดกบฏซ้อนกบฏวุ่นวายไปหมดฆ่ากันเองตายตกกันไปตามกัน

พระบัวเฮียว :กระผมยังอยากฟังพระเถรเจ้าเล่าเรื่องการกู้ชาติตอนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาขอรับเมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตทั้งด้านการเมืองและการศาสนา ท่านมีวิธีการอย่างไรจึงสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้

พระภิกษุเจ้าตาก :แม้บ้านเมืองจะระส่ำระสายเพียงไรเราก็มิได้ทอดทิ้งพระพุทธศาสนาอันเป็นสมบัตืคู่ชาติบ้านเมืองของไทยมาโดยตลอดเพราะเมื่อขึ้นครองราชย์ เราได้ฟื้นฟูพระศาสนาอย่างหนัก เพราะถูกกระทำย่ำยีจากพม่าซึ่งนอกจากจะทำลายถาวรวัตถุต่างๆ แล้ว ยังเผาพระไตรปิฎกจนวอดวายหมดซึ่งเท่ากับพระธรรมถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงเราต้องลงไปเมืองนครศรีธรรมราชเพื่อขอยืมพระไตรปิฎกมา บรรทุกใส่เรือขนมาที่ธนบุรีทางโน้นก็คงไม่เต็มใจนักหรอก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเราซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินเราสั่งให้นำพระไตรปิฎกมาคัด(ลอก)ที่วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) อยู่ ๑ปีเต็ม จึงได้นำไปคืนจากนั้นก็ให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกรวมทั้งคัมภีร์วิสุทธิมรรคด้วย

พระครูจรัญ :พระราชกรณียกิจของพระเจ้าตากที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาสรุปได้ดังนี้

๑.)ทรงชำระพระอลัชชี (ภิกษุผู้ละเมิดพุทธบัญญัติ) ซึ่งในเวลานั้นมีอยู่จำนวนมากที่เป็นพวกเจ้าพระฝางก็มี ทรงประกาศให้พระสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือมาดำน้ำพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน สบงจีวรกองพะเนิน ผู้ใดทนได้ก็โปรดให้อุปสมบทใหม่โดยพระเถระจากธนบุรี ผู้ใดทนไม่ได้ก็ให้สึกออกมาแล้วให้สักข้อมือ ใช้ทำงานหนักผู้ใดกล่าวเท็จว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์กลับสารภาพว่าตนเป็นปาราชิกก็โปรดให้นำตัวไปประหาร

พระภิกษุเจ้าตาก :การดำน้ำพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นการไม่ยุติธรรมเพราะพระที่ปาราชิกแต่สามารถดำได้ตามเวลาที่กำหนดก็มีพระที่บริสุทธิ์แต่ไม่สามารถดำได้ตามเวลาก็มี แต่ไม่ทราบจะใช้วิธีใดที่ดีกว่านี้ตอนนั้นยังไม่พบหลวงพ่อในป่า ถ้าหากมิได้บวช คงต้องรับกรรมสาหัสเป็นแน่

หลวงปู่เทพโลกอุดร : การบวชมิได้เป็นสาเหตุเดียวเพราะถ้าบวชแล้วมิได้ปฏิบัติจนถึงขั้นสามารถตัดความหลงในสงสารได้พระยาตากก็ต้องรับกรรมหนักหนาสาหัสอย่างที่พูดมา

พระครูจรัญ : เรื่องที่ ๒ทรงให้รวบรวมพระไตรปิฎก คัดลอกจากนครศรีธรรมราช ไว้หลายจบแล้วพระราชทานให้อารามใหญ่ๆ คัมภีร์ใดขาดตกบกพร่อง ทรงให้ไปแสงหาถึงเขมรตอนเสียกรุง วัดและบ้านเมืองถูกเผา ทรงหวั่นเกรงว่าพระไตรปิฎกจะสูญหายโปรดให้สืบหาต้นฉบับพระไตรปิฎกตามหัวเมืองต่างๆเท่าที่จะหาได้มาคัดลอกเอาไว้เพื่อสร้างพระไตรปิฎกฉบับหอหลวงขึ้น

พระภิกษุเจ้าตาก : แต่การสร้างพระไตรปิฎกยังไม่แล้วเสร็จมีเหตุให้ผลัดแผ่นดิน แต่สหายของเราก็รับงานนี้ไปสานต่อจนสำเร็จ

พระครูจรัญ : เรื่องที่ ๓ ทรงจัดสังฆมณฑล โปรดให้ประชุมพระเถระเท่าที่มีในราชอาณาจักรที่สัดบางหว้าใหญ่ ทรงเลือกพระเถระที่ทรงคุณธรรม แต่งตั้งขึ้นเป็นพระสังฆราชได้แก่พระอาจารย์ศรีจากเมืองนครศรีธรรมราช พระอาจารย์ศรีเป็นชาวอยุธยาและทรงคุ้นเคยกันมาก่อน พระศรีหนีไปนครฯ และทรงแต่งตั้งพระราชาคณะรูปอื่นๆนิมนต์ให้อยู่ตามวัดต่างๆ สั่งสอนคันถธุระและวิปัสสนาธุระต่อไป

พระภิกษุเจ้าตาก : ในสมันร.๑สมเด็จพระสังฆราชมีพระนามว่า ศรีเป็นองค์เดียวกับพระสังฆราชสมัยกรุงธนบุรีมีคนเข้าใจผิดอยู่มากว่าเป็นคนละองค์กัน

พระครูจรัญ : สมัยรัตนโกสินทร์สมเด็จพระสังฆราชศรีถูกปลดจากตำแหน่งคนคิดกันว่าสาเหตุเนื่องจากได้กราบบังคมทูลถามพระเจ้าตากว่าผู้ที่เข้าเฝ้าโดยมิได้ปลดอาวุธมีโทษสถานใด เพราะขณะนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ (พระอนุชาของ ร.๑) เข้าเฝ้าโดยมิทันปลดอาวุธด้วยเข้าใจผิดคิดว่าทรงกวักพระหัตถ์เรียก จึงขึ้นจากเรือมาเฝ้าขณะนั้นพระสังฆราชศรีกำลังสนทนาธรรมกับพระเจ้าอยู่หัวที่ท่าน้ำเห็นเจ้าพระยาเข้าเฝ้าในลักษณะนั้น จึงกราบบังคมทูลถามพระเจ้าตากตรัสถามเจ้าพระยาสุรสีห์ ท่านก็ตอบว่ามีโทษประหารชีวิตและกราบทูลให้ประหารชีวิตตนเสียตรัสถามอีกว่าถ้าไม่ประหารชีวิตจะต้องถูกลงโทษสถานใด ท่านก็ตอบว่าต้องถูกเฆี่ยน ๑๐๐ที ตรัสถามอีกว่าถ้าไม่เฆี่ยน ๑๐๐ ที จะต้องถูกเฆี่ยนกี่ทีท่านก็ตอบว่าต้องถูกเฆี่ยน ๘๐ ที จนที่สุดกราบทูลว่าเฆี่ยน ๖๐ ที จึงทรงเฆี่ยนเมื่อเฆี่ยนได้ ๒๐ ที ก็หยุด เหตุใดไม่ทรงเฆี่ยนต่อขอรับ

พระภิกษุเจ้าตาก :เราเฆี่ยนไม่ลง สหายของเราและน้องชายของเขามีบุญคุณต่อเรามากนึกถึงตอนที่พาโยมมารดาของเรามาที่จันทบุรีด้วยเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คนเล่าลือไปว่า เมื่อสหายของเราขึ้นครองราชสมบัติจึงสั่งให้ปลดพระสังฆราชเพราะทรงเชื่อพระอนุชาแท้จริงเป็นการใส่ร้ายเจ้าพระยาสุรสีห์เราขอยืนยันว่าเจ้าพระยาสุรสีห์เป็นคนมีจิตใจดีมีเมตตา และที่สำคัญเขารักพระพุทธศาสนาอย่างที่เรารัก ถึงพี่ชายเขาก็เช่นกัน

ก่อนที่จะสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชศรีเมืองธนบุรีมีสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อนแล้ว คือสมเด็จพระสังฆราชดี ที่ผู้คนเลื่อมใสแต่ต่อมาภายหลังเราทราบว่าตอนกรุงแตกครั้งที่ ๒พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ผู้อื่นแก่พม่า เมื่อถูกขังอยู่จึงถูกถอดตำแหน่งพระสังฆราช

พระบัวเฮียว :ทำไมพระอาจารย์ดีต้องบอกที่ซ่อนทรัพย์ผู้อื่นให้แก่พม่าด้วยขอรับ

พระครูจรัญ : ในช่วงกรุงแตกพม่าเที่ยวยึดทรัพย์สมบัติสิ่งของหลวงของราษฎรทั้งทรัพย์ซึ่งราษฎรฝังซ่อนไว้ตามวัดวาบ้านเรือน เอาราษฎรที่จับได้ไปชำระซักถามแล้วล่อลวงให้ลวงล่อกันเอง ใครเป็นโจทก์ของที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นได้ก็ปล่อยตัวไปส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ ถ้าไม่บอกให้โดยดี พม่าก็เฆี่ยนตีและทำทัณฑกรรมต่างๆเร่งเอาทรัพย์จนถึงล้มตายก็มีมีเรื่องปรากฏขึ้นเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งพระอาจารย์ดีครั้งกรุงเก่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกภายหลังได้ความว่าพระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่พระอาจารย์ดีเลยถูกถอดออกจากที่พระสังฆราช (พูดกับพระภิกษุเจ้าตาก)กระผมอ่านตามตัวอักษรที่ปรากฏในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖ เลยนะขอรับ อ่านด้วยกสิณ

หลวงปู่เทพโลกอุดร :เราได้มอบไม้เท้าให้ศิษย์ชาวพม่าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองคำ อำเภอภายากจังหวัดเชียงตุง วันหนึ่งศิษย์ของเธอจะไปวัดนี้

พระครูจรัญ :ศิษย์คนไหนครับ

หลวงปู่เทพโลกอุดร : ไม่ใช่พระบัวเฮียวศิษย์ของเธอคนนี้เขาจะมาช่วยเธอสอนกรรมฐานแทนพระบัวเฮียว ขณะนี้เขาอายุ ๑๐ ขวบยังไม่รู้จักเธอและเธอยังไม่รู้จักเขา อีก ๕ ปี เขาจะมาบวชเณรที่วัดป่ามะม่วงสามเณรรูปนี้จะช่วยเธอได้มาก ปี ๒๕๓๗ เขาจะธุดงค์ไปพม่าและจะได้เห็นไม้เท้าของเรา